Yeastar – รู้จัก AutoCLIP หนึ่งในจุดเด่นของ Yeastar VoIP PBX – บริษัท โอติก เน็ตเวิร์ค จำกัด

สวัสดีครับ ไม่ขอพูดพร่ำ เรามาลองทำความเข้าใจกันเลย

ก่อนพูดถึง AutoCLIP เราลองจินตนาการเล็กๆ เวลาที่มีใครสักคน โทรมาหาเรา และเราไม่ได้รับ ซึ่งหลายๆ ครั้งเราเห็น Miss Call (สายที่ไม่ได้รับ) แล้วเราจะโทรกลับไปหา ทันทีที่เราว่าง ใครจะรู้บางครั้งอาจจะเป็นสายสำคัญก็ได้

แต่เมื่อเราโทรกลับ ดันเป็นระบบโทรศัพท์หลักของบริษัทเสียอย่างนั้น อะไรไม่รู้ ให้เรากด 1 2 ติดต่อคนนั้นคนนี้ แล้วเราจะติดต่อใครล่ะทีนี่ ปัญหาเลย สุดท้ายเมื่อเราไม่ทราบว่าใครโทรหา เราก็จะกดเข้าหา โอเปอร์เรเตอร์ แล้วก็บอกว่า เห็นมี Miss call เข้ามาไม่ทราบใครโทรหา หากันวุ่นสิครับตอนนี้

ปัญหานี้แหละครับ AutoCLIP จะเข้ามาช่วยคุณ

AutoCLIP จะทำการ Return Call to the Original Extension แล้วมันคืออะไรล่ะ??

มันคือระบบที่จะทำการจดจำไว้ว่า คนภายในบริษัท โทรหาลูกค้าที่เบอร์อะไร และจำทำการเก็บรายละเอียดนี้ไว้สักระยะหนึ่ง (เรากำหนดได้) เพื่อให้เวลาคนโทรกลับ หรือลูกค้าตอนโทรกลับมาหาเรา สายนั้นจะได้วิ่งตรงมาที่เราได้ทันทีเลย ไม่ต้องไปวิ่งเข้าระบบตอบรับอัตโนมัติของบริษัท สะดวกน่ะ

ตัวอย่างจากภาพ

ผู้ใช้เบอร์ภายในหมายเลข 1002 ทำการโทรออกไปหาลูกค้าภายนอก ที่เบอร์ 13805876666 ซึ่งโทรออกทาง สายนอก (PSTN1) แล้วปลายทางไม่สะดวกรับสาย ระบบจะทำการบันทึกการโทรนี้เก็บไว้เป็นประวัติการโทร (History Call Routing)

เมื่อลูกค้า (ชายสุดหล่อ) เห็นเป็น Miss call เวลาโทรกลับ ระบบจะไปตรวจสอบว่า มีในประวัติการโทร (History Call Routing) เก็บไว้ไหม ถ้ามีก็จะทำการโอนสายนั้นไปที่เบอร์ ภายในนั้นๆ ทันที ในที่นี้ คือเบอร์ 1002 นั่นเอง

ทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาด้านบนได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว และการคอนฟิกระบบก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย

วิธีการเซ็ตอัป AutoCLIP

ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1. เปิดการใช้งาน AutoCLIP บน Trunk

ให้ท่านเข้าสู่ระบบของ Yeastar จากนั้นไปที่เมนู Setting > PBX > Call Control > AutoCLIP Routes

ให้ทำการเลือก Trunk ที่คุณต้องการ (เราสามารถเลือกให้มันทำงานได้เฉพาะ Trunk ที่เราต้องการเท่านั้น ก็ได้)

ขั้นตอนที่ 2. คอนฟิกพารามิเตอร์ของ AutoCLIP

ค่าคอนฟิกมีดังต่อไปนี้

Delete Used Records: ทำการลบประวัติการโทร (History Call Routing) ออกไปเมื่อปลายทางได้รับสายกันแล้ว
Only Keep Missed Call Records: only ให้ทำการบันทึกเฉพาะการโทรที่เป็นสถานะ ไม่ได้รับสาย (Miss Call) เท่านั้น ถ้าโทรแล้วรับสายปกติ ระบบไม่ต้องทำการบันทึกประวัติ (History Call Routing) ไว้
Match Outgoing Trunk: จดจำเฉพาะการโทรเข้าออกที่ Trunk เดิมเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ใช้หมายเลข 1000 โทรออกไปหาลูกค้าที่เบอร์ 15880253600 ผ่านทางทรั้งชื่อ PSTN1 ดังนั้น เมื่อมีการโทรกลับจากลูกค้า ที่ทรั้งเดิม เบอร์เดิม ระบบ AutoCLIP ถึงจะทำงาน (กรณีลูกค้าใช้ Hunting เบอร์ คือมีเบอร์นำหมู่ให้จดจำแค่เบอร์เดียว)
Record Keep Time: ระยะเวลาที่จะให้ระบบทำการจดจำ AutoCLIP กำหนดได้ตามต้องการ
Digits Match: เป็นการกำหนดจำนวนดิจิ ที่ต้องการตรวจสอบในตาราง เช่น กำหนดไว้ว่า ให้จำแค่ 7 เบอร์ท้ายน่ะ เมื่อระบบทำการตรวจสอบ ก็จะวิ่งมาตรวจสอบ ไม่จำเป็นต้องตรงทั้งหมด ถ้า 7 ตัวท้าย(เบอร์โทร) ตรงก็ถือว่าใช่ จะทำการโอนสายไปให้ทันที

ขั้นตอนที่ 3. คลิกที่ Save หรือ Apply

มาดูตัวอย่างการคอนฟิกกัน

ขั้นตอนที่ 1. เปิด AutoCLIP ที่ทรั้งที่ชื่อ BRI

ขั้นตอนที่ 2. ทำการกำหนดค่าพารามิเตอร์ AutoCLIP ดังตัวอย่างด้านล่าง

ขั้นตอนที่ 3. ทำการทดสอบ AutoCLIP ให้คลิกที่ View AutoCLIP List เพื่อตรวจสอบประวัติการโทรที่ระบบได้ทำการบันทึกไว้

หมายเลข 1000 ทำการโทรออกไปที่เบอร์ 15880262368 ปลายทางไม่ต้องรับสาย(เพราะเราจะทดสอบว่าระบบบันทึกการไม่รับสายไว้ไหม)
จะสังเกตุว่า Yeastar S-Series ได้ทำการบันทึกไว้แล้วที่ AutoCLIP list.
จากนั้นผู้ใช้หมายเลข 15880262358 ทำการโทรกลับไปยัง Yeastar PBX จะเห็นว่าเบอร์โทรเข้าจะแสดงเป็น +8615880262358.
ที่แสดงอย่างนั้นเพราะเรามีการกำหนดว่า Digits Match เป็น “11” ซึ่งตรงกับการบันทึกของ AutoCLIP ระบบก็จะทำการฟอร์เวิร์ดเบอร์นั้นไปที่หมายเลขภายในเบอร์ 1000 ทันที
เมื่อปลายทาง เบอร์ 1000 ทำการรับสายแล้ว ระบบจะทำการลบบันทึกของ AutoCLIP รายการนั้นออกไปทันที
ซึ่งในครั้งต่อไปถ้าผู้ใช้หมายเลข 15880262358 โทรเข้ามาที่ระบบอีกครั้งหนึ่ง ระบบก็จะวิ่งเข้าระบบเดิม เช่นถ้ามี IVR ไว้ระบบก็จะวิ่งเข้าสู่ IVR นั้นๆ ทันที